หลายๆ คนคงประสบปัญหาว่า มีหนังสือที่ซื้อมามากมาย แต่ยังอ่านไม่หมดซักที เพราะเวลาจะอ่านหนังสือแทบไม่มี บางคนก็ดองไว้นานจนลืมไปแล้วว่า เอ เคยซื้อเล่มนี้มาด้วยเหรอ??? พอยังอ่านเล่มที่มีไม่หมด หนังสือเล่มใหม่ที่น่าสนใจก็ออกมาอีกแล้ว จะทำยังไงดีนะ ?
- วางแผนเรื่องเวลา วางแผนไว้เลยว่าเราจะอ่านหนังสืออย่างน้อยครั้งละ 5-10 นาที ทำให้เป็นนิสัยที่จะอ่านหนังสือระหว่างทานอาหาร ไม่ว่าจะเช้า กลางวัน หรือเย็น (โดยเฉพาะเวลาที่ทานอาหารคนเดียว) รวมทั้งเวลานอน นั่นเท่ากับคุณมีเวลาถึง 4 ครั้งต่อวัน หรือเท่ากับ 40 นาทีต่อวันเลยทีเดียว
- มีหนังสือไว้กับตัวตลอดเวลา ไม่ว่าคุณจะไปที่ไหน ก่อนออกจากบ้าน ติดเอาหนังสือไปกับคุณด้วยสิ ไม่ว่าจะไปออฟฟิศ ไปเรียน นัดเจอเพื่อนซี้ ทำธุระที่ธนาคาร ไปหาหมอฟัน ฯลฯ เวลานั่งรอ ก็หยิบหนังสือออกมาอ่านได้เสมอ แถมทำให้ไม่เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์อีกด้วย
- จัดทำลิสต์รายการหนังสือ เก็บลิสต์รายการหนังสือดีๆ ทั้งหมดที่ต้องการจะอ่านเอาไว้ แล้วบันทึกลงในสมุดบันทึกประจำวันของเรา, ในสมุดโน้ต หรือในโฮมเพจส่วนตัวก็ได้ พออ่านเสร็จ ก็แค่ขีดฆ่าเล่มที่เราอ่านแล้ว เท่านี้ก็สามารถจัดการลำดับในการอ่านหนังสือได้อย่างง่ายดาย
- เก็บบันทึกเหตุการณ์ เหมือนกับลิสต์รายการอ่านหนังสือ แต่ไม่ใช่การบันทึกแค่ชื่อหนังสือ และผู้แต่งหนังสือที่เราอ่านเท่านั้นนะ แต่รวมถึงวันที่เริ่มอ่าน และวันที่อ่านจบ และถ้าจะให้ดี บันทึกสิ่งที่เราคิดเกี่ยวกับหนังสือเล่มนั้นๆ ไว้ด้วย เวลาย้อนกลับมาอ่านจะได้จำได้ไงล่ะ
- ค้นหาสถานที่เงียบๆ ค้นหาสถานที่ในบ้าน ที่เราจะสามารถนั่งเก้าอี้ที่แสนสบาย (ไม่ใช่การนอนลงนะ เว้นว่าเราอยากจะนอนหลับ!!) และเอนตัวลงกับหนังสือดีๆ โดยปราศจากการรบกวนหรือขัดจังหวะ ซึ่งนั่นควรจะไม่มีโทรทัศน์ หรือคอมพิวเตอร์ตั้งอยู่ใกล้ๆ ที่จะทำให้ไขว้เขวไปได้ และต้องไม่มีเพลง หรือสมาชิกในครอบครัว, เพื่อนร่วมห้องที่ส่งเสียงดัง แต่ถ้าไม่มีสถานที่แบบนี้ ลองค้นหาให้เจอสิ อย่างเช่น ร้านกาแฟเล็กๆ ห้องสมุด หรือสวนสาธารณะที่เงียบๆ ลมเย็นๆ ก็ได้ …แค่นี้ก็ได้อ่านหนังสืออย่างมีความสุขแล้ว
- ลดการดูทีวี หรือเล่นอินเตอร์เน็ต ถ้าคุณต้องการอ่านหนังสือให้มากกว่านี้จริงๆ ลองตัดการบริโภคทีวีหรืออินเตอร์เน็ตลง มันอาจจะเป็นสิ่งที่ยากสำหรับหลายๆ คน แม้ในตอนนี้ คุณก็สามารถอ่านหนังสือแทนการเล่นอินเตอร์เน็ตนะ! แค่นี้ก็สามารถสรรสร้างช่วงเวลาแห่งการอ่านหนังสือได้แล้ว
- มีวันแห่งห้องสมุด ทำให้เป็นนิสัยในการเดินทางสำหรับทุกอาทิตย์ ด้วยการไปห้องสมุด นอกจากจะสามารถหยิบหนังสือของเราติดมือไปอ่านได้แบบเงียบๆ สบายๆ แล้ว ในนั้นยังมีหนังสือน่าอ่านตั้งมากมายรอให้เราไปค้นหา แทนที่จะไปเดินช้อปปิ้ง หรือนอนพักผ่อนเฉยๆ อยู่บ้าน ก็ไปห้องสมุด แล้วหาหนังสือถูกใจอ่านกันเถอะ เพราะนอกจากได้อ่านหนังสือในบรรยากาศเงียบๆ สมใจแล้ว ยังได้อ่านฟรีอีกต่างหาก…คุ้มแสนคุ้ม!
- อ่านหนังสือที่สนุกๆ และกระตุ้นความสนใจได้ ค้นหาหนังสือที่น่าสนใจจริงๆ สำหรับคุณ แม้ว่าหนังสือพวกนั้นจะไม่ใช่วรรณกรรมระดับมาสเตอร์พีซ แต่ทำให้เราอยากอ่านมันได้ แค่นั้นก็พอแล้ว หลังจากนั้น เราก็สามารถเปลี่ยนไปอ่านอะไรที่มันยากขึ้นได้ แต่สำหรับตอนนี้ มุ่งไปสู่สิ่งที่ทำให้สนุก และสิ่งที่น่าสนใจดีกว่านะ อย่างนิยายโรแมนติกคอเมดี หรือ ซีรีส์สืบสวนหรรษา ที่เรียกเสียงฮาได้ตั้งแต่ต้นจนจบนั่นไง
- ทำให้การอ่านหนังสือเป็นสิ่งที่ให้ความเพลิดเพลิน ทำให้การอ่านหนังสือของเราเป็น ช่วงเวลาที่น่าโปรดปราน อย่างการจิบชาดีๆ หรือจิบกาแฟในช่วงเวลาที่อ่านหนังสือ มีเก้าอี้ที่แสนสบาย หรือจะเลือกช่วงเวลาในการอ่านหนังสือระหว่างช่วงที่พระอาทิตย์ขึ้น หรือพระอาทิตย์ตก หรือไปนอนเอกเขนกที่ชายหาด ก็ย่อมจะช่วยสร้างบรรยากาศให้เราเพลิดเพลินกับการอ่านหนังสือได้เป็นอย่างดีเชียวล่ะ
- บันทึกเรื่องราวการอ่านหนังสือลงไปใน Blog เป็นอีกหนึ่งในเคล็ดลับที่ดีที่สุดที่จะ สร้างนิสัยในการอ่าน คือการบันทึกเรื่องราวลงใน Blog ของเรา จะเป็น Hi5, Facebook, Multiply หรืออะไรก็แล้วแต่ นอกจากจะสามารถอธิบายความคิดของเราเกี่ยวกับหนังสือเล่มนั้นๆ ได้แล้ว คนอื่นๆ ยังสามารถให้คำแนะนำเราเกี่ยวกับหนังสือ และแสดงความคิดเห็นในหนังสือบางเล่มที่เรากำลังอ่านได้อีกด้วย
- วางแผนเป้าหมายสูงสุด บอกตัวเองว่า เราต้องการอ่านหนังสือจำนวน 50 เล่มในปีนี้!! (หรือตัวเลขอื่นๆ ประมาณนั้น) หลังจากนั้น วางแผนที่จะทำเป้าหมายนี้ให้สำเร็จ แต่ต้องแน่ใจว่าเราจะยังคงสนุกกับการอ่านอยู่ ไม่ต้องรีบเร่ง เพราะเป้าหมายจริงๆ ของเราก็คือ การอ่านหนังสือที่เคยซื้อเอาไว้ให้หมดนี่นา…
- มีชั่วโมงการอ่าน หรือวันแห่งการอ่าน ถ้าปิดทีวี หรืออินเตอร์เน็ตตอนเย็นๆ เราก็สามารถวางแผนเวลา (บางทีแค่หลังทานข้าวเย็น) เมื่อเราและสมาชิกในครอบครัวทั้งหมดอยู่ด้วยกัน ถ้าทำให้พวกเขาเหล่านั้นร่วมกับเราได้ในการอ่านหนังสือได้ ก็จะสนุกสุดๆ ไปเลย!!!
*เรียบเรียงจาก http://www.lifehack.org